วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ครบ 20 ปี เหตุสลด รถก๊าซระเบิดที่ เพชรบุรีตัดใหม่




เหตุการณ์ที่ทำให้ประชาชนคนไทย ต้องจำเป็นอุทาหรณ์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในช่วงปี 2533 คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์รถแก๊สระเบิด ที่ถนนเพชรบุรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2533 เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ภาพข่าวและเนื้อหาของข่าว สร้างความเศร้าสลดใจ ให้แก่ผู้คนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงญาตของผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ในครั้งนี้

รถแก๊สระเบิดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 24 กันยายน 2533 เวลา 22.30 น. บริเวณถนนเพชรบุรี โดยบริเวณเหล่านั้นได้รับความเสียหายไปเป็นจำนวนมาก รวมค่าเสียหายแล้วกว่า 10 ล้าน

เหตุรถแก๊สระเบิดนั้นเป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงและรุนแรงมาก เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะรุนแรงได้ขนาดนี้ เริ่มจากการที่รถบรรทุกแก๊ส 6 ล้อ บรรจุแก๊สขนาด 4 หมื่นลิตร ของบริษัทสยามแก๊ส วิ่งจากทางด่วนบางนา มาลงทางด่วนเพชรบุรีด้วยความเร็วสูง พร้อมทั้งฝ่าไฟแดง แล้วมาเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่หน้าหอพักเพชรบุรี (ซึ่งต่อมาเมื่อสถาบันนิติเวช ได้ชันสูตรศพจึงพบว่าคนขับรถชื่อ นายสุทัน ฝักแคเล็ก พบว่ามีฤทธิ์สุรา และยาบ้าอยู่ในระบบทางเดินอาหาร)
แต่หลังจากรถพลิกคว่ำ ยังไม่ได้มีการระเบิดทันที จนเมื่อแก๊สได้รั่วไหลออกมาปนกับอากาศ ด้วยเป็นอุบัติเหตุบนถนน เมื่อมีการจุดไฟหรือติดเครื่องรถยนต์ จึงทำให้เกิดการระเบิดขึ้น อย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยที่ไม่มีใครได้คาดคิด จึงไม่มีการอพยพผู้คนออกจากบริเวณนั้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตบนนถนนทันที 8 ศพเปลวไฟได้พวยพุ่งไป รอบทิศทางเหมือนการฉีดสายยางฉีดน้ำ แต่ในเหตุการณ์นี้ กลับกันจากน้ำมาเป็นไฟที่มีความรุนแรงมาก ทำให้กลายเป็นทะเลเพลิงเผาไหม้ ไปทั่วบริเวณนั้นอย่างไม่ปราณี ผู้คนที่ขับขี่รถอยู่บนถนนในรัศมี 100 เมตร ก็ต้องเสียชีวิตจากเพลิงไหม้ในทันที

โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บบางคน วิ่งกระเสือกกระสน มานั่งที่ริมฟุตบาธ เนื้อตัวเปลือยหมด เพราะไฟคลอก พ่อค้าแม่ค้าแถวประตูน้ำ ต้องวิ่งมาช่วยกัน และมีผู้หญิงคนหนึ่งในเหตุการณ์ เล่าว่าเธอรอดชีวิตมาจากห้องพัก โดยเธอ ได้ยินเสียงรถแก๊สคว่ำดังสนั่น จนเธอต้องตื่นขึ้น แล้วลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนหญิงของเธอ ที่วิ่งนำหน้าเธอมาถึงประตูก่อน พอเปิดประตูออก เปลวไฟก็ฉีดพุ่งเข้ามาคร่าชีวิตเพื่อนของเธอทันทีเปลวไฟจากรถบรรทุกได้ระเบิดขึ้นไปในตึก 2 ข้างทางของถนนเพชรบุรีรวมไปถึงหอพักสตรีเพชรบุรี ที่มีคนอาศัยอยู่ร่วม 60 คน ต่างพากันหลบหนีเอาตัวรอด แต่ก็ไม่สามารถสู้กับเพลิงไหม้ได้ จึงทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 30 คน เนื่องมาจากเป็นเหตุที่เกิดในช่วง 22.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ ่ได้หลับพักผ่อนแล้ว จึงทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ติดอยู่ในหอพักมาก นอกจากจะลามมาที่หอพักแล้ว ไฟยังลามมาถึงชุมชนแออัดจารุรัตน์ด้วย


จากเหตุการณ์นี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 90 ศพ บาดเจ็บ 121 ราย รถยนต์ถูกเพลิงไหม้ 43 คัน จักรยานต์ 4คัน และรวมไปถึงทำให้เกิดเพลิงไหม้ เผาบ้านเรือนสองฝั่งถนนอีก 38 หลังคาเรือน
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ไว้กับหน่วยงานของรัฐ ที่รับผิดชอบให้มีกฎข้อบังคับที่เคร่งครัด และทำอย่างจริงจังมากขึ้น พร้อมทั้งกำหนดบทลงโทษที่รุนแรง เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการกล้าละเมิดกระทำความผิด และยังรวมผู้ขับรถบรรทุกต่างๆ ให้มีจิตสำนึกที่ดีในการขับรถ และมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมมากขึ้น เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ก่ออันตรายให้แก่ตัวเองเท่านั้น ยังเดือดร้อนผู้อื่นภายในสังคมด้วย


แหล่งข้อมูล : www.safety.thaigov.net
www.thaimisc.com
www.thai.net


" ภาพเหล่านี้ คงนำมาย้อนให้ทุกท่านที่ได้รับรู้ความเสี่ยงต่างๆ แต่นิ่งเฉย ... บาปและภาพสลดจะติดตามท่านไป ถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้น แบบสึนามิทางบก "



ด้านล่างทั้งหมดจากเวบ http://atcloud.com/stories/64121









ในวันนั้น...เป็นช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2533 บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถนนใจกลางเมืองก็ยังคงคลาคล่ำไปด้วยรถยนต์เหมือนเช่นทุกวันของกรุงเทพมหานคร หลายชีวิตบนถนนเพิ่งกลับจากทำงานเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน หลายชีวิตก็เพิ่งเริ่มต้นกับแสงสียามราตรีบนถนนเส้นนี้ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมา เพียงเพราะความประมาทของคนเพียงแค่คนเดียว และความมักง่ายของบริษัทหนึ่งจะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ยังคงฝังใจคนไทยทุกคน มาจนถึงวันนี้

เวลาประมาณ 22.00 น. นายสุทัศน์ ฟักแคเล็ก คนขับรถบรรทุกแก๊สของบริษัท อุตสาหกรรมแก๊ส-สยาม จำกัด ได้พยายามขับลงจากทางด่วนเพชรบุรีตัดใหม่ด้วยความเร็วเพียงเพื่อที่จะข้าม ผ่านให้พ้นไฟแดง แต่รถกลับเกิดอุบัติเหตุจนพลิกคว่ำไถลไปกับพื้นถนน ทำให้ถังบรรจุแก๊สขนาด 20,000 ลิตร จำนวน 2 ถัง หลุดออกจากตัวรถและปริแตก แก๊สที่บรรจุอยู่ภายในพวยพุ่งออกมาทั่วทั้งถนน แล้วเมื่อไหลไปเจอกับประกายไฟก็เกิดระเบิดขึ้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหวหลายครั้ง ลูกไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดงฉาน ทำให้บริเวณถนนเพชรบุรตัดใหม่และละแวกใกล้เคียงกลายเป็นทะเลเพลิงไปในพริบตา และลุกลามไปอย่างรวดเร็วจนเป็นวงกว้าง พร้อมกับครอกผู้คนที่อยู่ในรถยนต์บนถนนเส้นนั้น ทำให้หลายรายเสียชีวิตในทันที บางคนที่พอจะตั้งหลักได้ก็พากันวิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากกองเพลิง แต่ส่วนมากอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส จากเปลวไฟทั้งสิ้น พ.ต.อ.ทนัย อภิชาติเสนีย์ ผกก.ฝอ.สลก.ตร. ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น รอง สว.สส.สน.พญาไท รับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุ เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนยังจำได้ขึ้นใจว่า ขณะเกิดเหตุกำลังพักผ่อนอยู่ที่แฟลตใกล้กับ สน.พญาไท น้องชายได้มาเรียกให้ดูข่าวทางโทรทัศน์ซึ่งรายงานเหตุการณ์น่าตกตะลึงที่ เกิดขึ้น จึงรีบเดินทางมาที่ สน.พญาไท และพยายามขี่รถจักรยานยนต์สายตรวจเข้าไปยังจุดเกิดเหตุแต่ไม่สามารถเข้าไป ได้เนื่องจากเพลิงยังคงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง จึงกลับมาประชุมพร้อมกับตำรวจในพื้นที่ ซึ่งตอนนั้นเป็นของกองกำกับการ 3 ประกอบด้วย สน.พญาไท, สน.ดินแดง, สน.ดุสิต, สน.สามเสน และสน.มักกะสัน โดยได้แบ่งงานกันออกไปรวบรวมรายชื่อผู้บาดเจ็บที่ส่งไปรักษายังโรงพยาบาล ใกล้เคียง

“ผมได้รับมอบหมายให้ไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลตำรวจ ผมไปถึงตอนประมาณตี 3 สถานการณ์ในโรงพยาบาลกำลังชุลมุนวุ่นวายเนื่องจากมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก แพทย์และพยาบาลต้องทำงานอย่างหนัก เราทำได้แค่เพียงรวบรวมรายชื่อและสอบปากคำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไม่มาก และผู้ที่ได้รับการรักษาแล้ว จากนั้นก็ไปที่สถาบันนิติเวชเพื่อไปดูศพ จำได้อย่างติดตาเพราะสภาพศพแต่ละศพถูกไฟเผาจนไหม้ตำเป็นตอตะโก ศพที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ก็จะถูกนำมาวางเรียงรายเต็มไปหมด ภาพที่เห็นแม้ว่าผมจะเป็นตำรวจและเคยเห็นศพมาก่อนก็ยังรู้สึกหดหู่ใจ” พ.ต.อ.ทนัย กล่าว

ในคืนนั้น...เจ้าหน้าที่กู้ภัยและหน่วยดับเพลิงต้องทำงานอย่างหนัก กว่าเพลิงจะสงบลงก็ใช้เวลาถึง 1 วันเต็มๆ หลังจากเพลิงสงบเมื่อเจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ก็ยังคงปรากฏภาพ ที่น่าโศกสลด เมื่อพบศพที่ถูกเผาทั้งเป็นติดอยู่กับรถโดยไม่ทันตั้งตัว อุบัติเหตุครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไปทั้งสิ้น 59 ศพ บาดเจ็บอีก 89 ราย อาคารพาณิชย์และบ้านเรือนประชาชนในละแวกนั้นได้รับความเสียหาย ไปเกือบ 40 คูหา รวมไปถึงชุมชนแออัดอีก 100 หลังคาเรือน ส่วนนายสุทัศน์คนขับเสียชีวิตคาที่นั่ง แต่สิ่งที่ตอกย้ำความเจ็บช้ำของผู้ที่สูญเสียคือผลจากการตรวจพิสูจน์ที่พบ ว่าสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนั้นเกิดจากรถบรรทุกแก๊ส ไม่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด

พ.ต.อ.ทนัย เล่าถึงเหตุการณ์ในเช้าวันถัดมาว่า หลังจากที่ได้รวบรวมรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตแล้วจากโรงพยาบาลต่างๆ ตำรวจในทุก สน.ในพื้นที่ก็ได้นำรายชื่อมาส่งให้ตนพิมพ์ลงคอมพิวเตอร์ซึ่งสมัยนั้นตำรวจ เพิ่งเริ่มมีการนำใช้ โปรแกรมที่มีก็ยังเป็นโปรแกรมแบบเก่าจึงไม่ค่อยมีใครใช้งานเป็น จึงต้องใช้เวลานานจนเกือบรุ่งเช้า จากนั้นได้นำไปติดไว้ที่บอร์ดหน้า สน. แล้วกลับมาพักผ่อนที่ห้อง แต่เพียงไม่นานสารวัตรใหญ่ก็ให้ลูกน้องมาตามให้ไปพิมพ์รายชื่อเพิ่ม เมื่อออกมาดูที่หน้า สน.ก็ตกใจกับภาพที่ปรากฏเพราะว่ามีประชาชนจำนวนมากมาออกันอยู่เต็มหน้า สน.จนมืดฟ้ามัวดิน เพราะประชาชนจากหลายที่ต่างมาดูรายชื่อญาติที่คิดว่าอาจจะอยู่ในที่เกิดเหตุ

พล.ต.ต.มณเฑียร ประทีปะวณิช ผบก.ประจำ สง.ผบ.ตร. เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สน.พญาไทในขณะนั้น กล่าวถึงการทำงานของตำรวจหลังเกิดเหตุการณ์รถแก๊สระเบิดว่า เมื่อเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามประสานทุกหน่วยงานเพื่อเข้าไปช่วยเหลือ แต่เนื่องจากเหตุรุนแรงมาก เหมือนพื้นที่ถูกระเบิดลงจึงกลายเป็นพื้นที่ปิด จึงทำให้การทำงานของตำรวจยากลำบาก การทำงานจึงเริ่มหลังจากเกิดเหตุไปแล้ว โดยได้เน้นที่งานสอบสวน พยายามที่จะย้ำให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุให้มากที่สุด โดยประสานงานกับเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานให้ทำงานอย่างเป็นระบบ เพราะท้ายที่สุดก็ต้องดำเนินคดีกับบริษัทที่รับผิดชอบให้ได้ โดยชี้ให้เห็นว่าเกิดจากความประมาทไม่ใช่อุบัติเหตุ

ในวันนี้...แม้ว่าโศกนาฏกรรมรถแก๊สระเบิดบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ จะผ่านมาจนครบ 17 ปีแล้ว แต่ความเจ็บปวดในครั้งนั้นก็ยังฝังใจทุกครั้งเมื่อมีข่าวคราวของรถแก๊สพลิก คว่ำ ซึ่งยังมีให้เห็นอยู่เสมอจนเกิดคำถามขึ้นในใจว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ เรียนรู้และแก้ไขอะไรบ้างจากเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น

“สิ่งที่ตำรวจได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในลักษณะที่เกิดขึ้น เรื่องแรกคือด้านงานสอบสวน การรวบรวมหลักฐาน เพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินคดี ส่วนที่เกิดขึ้นแล้วเราคงจะไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่การทำหน้าที่ของตำรวจอย่างเต็มที่ในครั้งนั้นเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของ บริษัทแก๊สสยาม และกระแสสังคมที่เกิดขึ้น ส่งแรงผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการมาดูแลเข้มงวดยิ่งขึ้นแม้ จะดูเหมือนวัวหายล้อมคอกก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นบทเรียนสำคัญของคนไทยที่เราไม่คิดมาก่อนว่าจะเกิด ขึ้น แต่ในอนาคตต่อไปจะทำให้เราได้ตระหนักถึงภัยพิบัติในรูปแบบอื่นที่อาจจะเกิด ตามมาซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เชื่อว่าในยามคับขันชาวไทยทุกคนจะออกมาช่วยเหลือกัน” พล.ต.ต.มณเฑียร กล่าว

แม้จะถือว่าเป็นบนเรียนครั้งสำคัญสำหรับประเทศไทย แต่เมื่อวันเวลาเคลื่อนคล้อยไป มาตรการการป้องกันต่างๆ อย่างเข้มงวดก็ถูกลืมเลือนที่จะนำมาปฏิบัติใช้ด้วย หรือจะต้องให้โศกนาฏกรรมแบบนั้น ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง

























สภาพรถ


สภาพบ้านเรือน


ดับๆๆๆๆๆๆๆๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น